วรรคทอง คือ คำประพันธ์บางส่วนหรือบางบทที่มีคุณค่าต่อจิตใจของหมู่ชน ชวนให้จดจำ เป็นบทที่กินใจ ด้วยคำประพันธ์ดังกล่าวนั้นมีการเรียงร้อยคำที่ไพเราะ อีกทั้งให้พลังในด้านความรู้สึกที่ชัดเจนและสะเทือนอารมณ์ก่อให้เกิดจินตภาพ (ภาพที่เกิดจากความนึกคิดหรือที่คิดว่าควรจะเป็นเช่นนั้น หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ภาพลักษณ์) “จินตภาพ” หรือ “ภาพลักษณ์” นี้ ตามความหมายในพจนานุกรมไทยมีความหมายตรงกับคำที่บัญญัติศัพท์มาจากภาษาอังกฤษคือ คำว่า “image”
“ ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน
ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน ”
สำหรับวรรคทองที่ยกมานี้มาจากเรื่อง นิราศภูเขาทอง ซึ่งแต่งโดยสุนทรภู่ค่ะ เป็นวรรณคดีนิราศที่จะต้องบรรยายถึงการเดินทาง พลัดพรากจากนางเป็นที่รัก และก็คร่ำครวญหาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ในที่นี้สุนทรภู่กำลังเดินทางจะไปนมัสการเจดีย์ภูเขาทองที่พระนครศรีอยุธยาค่ะ ความหมายก็ตามตัวเลยในอดีต คงจะรู้ใช่มั้ยคะว่าท่านกวีเอกคนนี้เคยติดสุราจนเสียงานเสียการ ขาดสติ ถือเป็นช่วงตกต่ำของชีวิตท่านเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นเวลาท่านเมาเช้ามาก็สร่าง แต่ ณ ตอนนี้ที่กำลังเมาในรสชาติของความรัก เพราะต้องจากนางอันเป็นที่รักนั้นมันทรมาน ทำให้คนมีแต่ถลำลึก แล้วก็ยากที่จะหายจากอาการนี้ได้ จึงเป็นที่มาว่าทำไมเมาเหล้าถึงดีกว่าเมารักนั่นเองค่ะ
“ความเอยความรัก เริ่มสมัครชั้นต้น ณ หนไหน
เริ่มเพาะเหมาะกลางหว่างหัวใจ หรือเริ่มในสมองตรองจงดี
แรกจะเกิดเป็นไฉนใครรู้บ้าง อย่าอำพรางตอบสำนวนให้ควรท
ใครถนอกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงรตี ผู้ใดมีคำตอบขอบใจเอย ”
แค่ขึ้นต้นมาก็เชื่อว่าทุกคนต้องรู้สึกคุ้นหูก่อนคุ้นตา เพราะมีเพลงชื่อ ความรัก ออกมาให้ฟังหลายเวอร์ชั่นเลยค่ะ หลายคนคงจะคุ้นเคยเพราะได้ยินมาจากเพลงมากกว่าจะรู้ว่าจริงๆ แล้ววรรคทองนี้ปรากฏในผลงานของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่อง บทละครพูดคำกลอน เวนิสวาณิช มาก่อนแล้ว ถ้าเป็นเวอร์ชั่นล่าสุดรู้สึกจะเป็นคุณแนน สาธิดานำมาขับร้องใหม่ประกอบละครเรื่องคุณชายรัชชานนท์ด้วยนะคะในส่วนความหมายที่ถอดได้จากวรรคทองที่ยกมานี้นะคะ จะเป็นในตอนที่ บัสสานิโยและนางปอร์เซีย ร้องถามโต้ตอบกันเกี่ยวกับความรักที่เกิดขึ้นว่า ความรักแท้จริงแล้วเริ่มเกิดจากอะไร สมองหรือหัวใจ? มีสิ่งใดเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงความรักได้ ถ้าใครมีคำตอบก็จะขอบคุณ ซึ่งถ้ามีเวลาก็อยากแนะนำให้ลองไปหาตัวบทมาอ่านดูนะคะ เพราะบทถัดไปได้มีคำตอบไว้ว่า ความรักก็เริ่มต้นจากเมื่อได้พบและสบตากับนางนั่นเอง ถือว่าเป็นบทประพันธ์บทหนึ่งที่มีความหมายลึกซึ้งมากทีเดียวค่ะ
“ ความรักเหมือนโรคา บันดาลตาให้มืดมน
ไม่ยินและไม่ยล อุปะสัคคะใดใด
ความรักเหมือนโคถึก กำลังคึกผิขังไว้
ก็โลดจากคอกไป บยอมอยู่ ณ ที่ขัง
ถึงหากจะผูกไว้ ก็ดึงไปด้วยกำลัง
ยิ่งห้ามก็ยิ่งคลั่ง บหวนคิดถึงเจ็บกาย ”
ไม่ยินและไม่ยล อุปะสัคคะใดใด
มาต่อกันที่วรรคทองอันที่สามที่ยกมา รู้สึกว่าประโยคแรกก็คงจะไม่มีใครไม่เคยได้ยินใช่มั้ยคะ คุ้นตามากๆเลยถ้าสังเกตดูจะพบว่าในวรรณคดีมักเปรียบคนที่ลุ่มหลงในรักหรือตกอยู่ในภวังค์แห่งรักเหมือนคนกำลังหลงทางในเขาวงกต หรือเหมือนคนป่วย(ซึ่งในที่นี้ก็คือป่วยใจ) นั่นก็เพราะความรักมักจะเข้ามามีผลต่อใจคนโดยไร้เหตุผล จากวรรคทองนี้เป็นตอนที่พระฤาษีกาละทรรศิน จากเรื่อง มัทนะพาธา ได้พูดกับศุภางค์ว่า ความรักของมัทนากับพระชัยเสนนั้นยากที่จะห้ามได้ ตอนนี้ทั้งสองคนกำลังป่วยใจ เพราะได้รับเชื้อจากความรักจนทำให้ตาบอด ถ้าจะพูดถึงพลังแห่งรักที่ทำให้เรามีแรงต่อสู้ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ไปได้มันก็ดีค่ะ แต่ถ้ารักมากเกินไปจนไม่อยู่บนความเป็นจริงก็จะถูกเปรียบให้เหมือนคนตาบอดนั่นเอง ยิ่งไปกว่านั้นการจะห้ามความรู้สึกของพระชัยเสนก็เหมือนเราเอาเชือกไปผูกดึงโคถึกที่กำลังอาละวาด ถึงเราจะผูกเขาไว้แต่สุดท้ายเขาก็จะดันทุรังหนีออกไปจากคอกอยู่ดี พระฤาษีกาละทรรศินจึงไม่ห้ามความสัมพันธ์ระหว่างนางมัทนากับพระชัยเสน เพราะรู้ว่าพิษรักนี่แหละค่ะที่อันตรายกว่าสิ่งใด ถ้าใครเคยฟังเพลง บุพเพสันนิวาส ที่ประกอบละครเรื่องวนิดา คงจะคุ้นกันมากขึ้นเพราะในเพลงมีท่อนหนึ่งจากวรรคทองนี้ด้วยค่ะ ลองไปหาฟังกันดูนะคะ
“ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร ไม่สิ้นสุดความรักสมัครสมาน
แม้อยู่ในใต้หล้าสุธาธาร ขอพบพานพิสวาทมิคลาดคลา ”
ในส่วนของวรรคทองบทต่อมาที่จะพูดถึงมาจากเรื่อง พระอภัยมณี ค่ะ ก็น่าจะพอคุ้นกันบ้าง แต่ถ้าถามว่ามาจากที่ไหนคงจะต้องใช้เวลานึกนานทีเดียว แต่คำตอบให้แล้วค่ะ วรรคทองนี้เป็นตอนที่พระอภัยมณีสื่อความรู้สึกและให้คำมั่นต่อนางละเวงวัณฬา โดยตอนนั้นเป็นตอนที่ทั้งสองคนกำลังทำศึกกันอยู่ ด้วยความเจ้าชู้ของพระอภัยมณีก็ได้เกี้ยวนางละเวงด้วยวรรคทองนี้นี่เอง ซึ่งเมื่ออ่านแล้วจะต้องยกนิ้วให้กับความสวยงามทั้งทางความหมายและการเลือกใช้คำของท่านสุนทรภู่เลยล่ะค่ะ เพราะท่านได้เปรียบความรู้สึกของพระอภัยมณีที่มีต่อนางละเวงว่า แม้แผ่นฟ้า ผืนดิน และมหาสมุทรจะล่มสลายไป แต่ความเสน่หา และความรักที่มีจะไม่ล่มสลายไปด้วย ต่อให้ต้องตายไปก็จะขอตามไปเจอกันอีกครั้ง และจะรักนางไปทุกๆ ชาติ โดยท่านสุนทรภู่ยังแต่งโดยมีการเปรียบอีกว่าถ้านางละเวงเป็นน้ำ พระอภัยมณีก็จะขอเป็นปลา ถ้านางละเวงเป็นดอกบัวพระองค์ก็จะตามไปเกิดเป็นบรรดาผึ้งคอยชมอยู่รอบๆ หรือสุดทายถ้านางละเวงไปเกิดเป็นถ้ำ ตัวพระอภัยมณีก็จะขอเป็นราชสีห์ที่อาศัยอยู่ในถ้ำนั้นจะได้อยู่ใกล้กับนางตลอดไปนั่นเองค
“เป็นผู้หญิงแท้จริงแสนลำบาก เป็นผู้ชายยิ่งยากกว่าหลาย
หญิงต้องเจียมกายามาแต่เยาว์ ชายต้องเฝ้าวิงวอนให้หล่อนรัก
หญิงถึงรักต้องแกล้งแสร้งทำเฉย หวังให้ชายอยากเชยยิ่งขึ้นหนัก
ต่างคนต่างซัดกันน่าขันนัก ที่แท้ต่างสมัครจะรักกัน”
เรามักจะได้ยินประโยคที่ว่า "เป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก…." แล้วก็จะตามด้วยประโยคอื่นๆ มากมายเพื่อมาขยายความว่าเป็นผู้หญิงลำบากยังไง แต่รู้มั้ยคะว่าในวรรณคดีก็มีประโยคนี้มานานแล้วเหมือนกัน ซึ่งวรรคทองนี้ยกมาจากเรื่อง วิวาหะพระสมุท ผู้แต่งคือศรีอยุธยา(นามแฝงนี้ยังเป็นนามแฝงอีกอย่างของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าจ้าอยู่หัวด้วยนะคะ) โดยบทนี้เป็นตอนที่ตัวละครในเรื่องชื่อ แมรี รับรักนายทหารเอกเอ็ดเวิร์ด และยังมีสาวใช้อีกสองคนที่รับรักนายทหารอีกสองนาย คนทั้งสามคู่จึงร้องเพลงตอบโต้กันค่ะ แน่นอนว่าไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ล้วนแต่มีเรื่องที่ได้เปรียบและเสียเปรียบต่างกันค่ะ ในแง่ของความรักนี่ยิ่งซับซ้อนไปใหญ่ กว่าที่คนสองคนจะได้รักกัน ผู้หญิงก็บอกว่าต้องรักนวลสงวนตัว เผยความรู้สึกมากก็ไม่ได้ ถ้าออกตัวก่อนก็คงจะดูไม่ดี ส่วนฝ่ายผู้ชายก็โต้กลับมาว่าเป็นผู้ชายก็ลำบากเหมือนกันนะ เพราะก็ต้องมาอ้อนวอนความรักจากผู้หญิง โดยเฉพาะถ้าผู้หญิงไม่แสดงออกก็ยิ่งเป็นการยากที่จะเริ่มความสัมพันธ์ได้ เรื่องราวทุกอย่างก็เลยยิ่งยากขึ้นไปเพราะต่างฝ่ายต่างทำให้มันยากนั่นเอง ทั้งๆ ที่จริงแล้วก็มีใจให้กันทั้งคู่ เห็นมั้ยคะว่าข้อคิดที่แฝงมากับวรรณคดียังใช้ได้ในยุคปัจจุบันอยู่น้าา รักใครชอบใครก็รีบบอก สงสัยก็รีบถามนะคะ ชีวิตคนเราไม่ได้มีวันพรุ่งนี้กันตลอดไปหรอกค่ะ ว่าจริงมั้ยคะ
ศึกษาเพิ่มเติม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น