วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

วรรคทองในวรรณคดี


         วรรคทอง  คือ  คำประพันธ์บางส่วนหรือบางบทที่มีคุณค่าต่อจิตใจของหมู่ชน  ชวนให้จดจำ  เป็นบทที่กินใจ  ด้วยคำประพันธ์ดังกล่าวนั้นมีการเรียงร้อยคำที่ไพเราะ  อีกทั้งให้พลังในด้านความรู้สึกที่ชัดเจนและสะเทือนอารมณ์ก่อให้เกิดจินตภาพ  (ภาพที่เกิดจากความนึกคิดหรือที่คิดว่าควรจะเป็นเช่นนั้น  หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า  ภาพลักษณ์)   “จินตภาพ”  หรือ  “ภาพลักษณ์”  นี้  ตามความหมายในพจนานุกรมไทยมีความหมายตรงกับคำที่บัญญัติศัพท์มาจากภาษาอังกฤษคือ  คำว่า  “image”     


“ ไม่เมาเหล้าแล้วแต่เรายังเมารัก       สุดจะหักห้ามจิตคิดไฉน
         ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป         แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน ”



       สำหรับวรรคทองที่ยกมานี้มาจากเรื่อง นิราศภูเขาทอง ซึ่งแต่งโดยสุนทรภู่ค่ะ เป็นวรรณคดีนิราศที่จะต้องบรรยายถึงการเดินทาง พลัดพรากจากนางเป็นที่รัก และก็คร่ำครวญหาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ในที่นี้สุนทรภู่กำลังเดินทางจะไปนมัสการเจดีย์ภูเขาทองที่พระนครศรีอยุธยาค่ะ ความหมายก็ตามตัวเลยในอดีต คงจะรู้ใช่มั้ยคะว่าท่านกวีเอกคนนี้เคยติดสุราจนเสียงานเสียการ ขาดสติ ถือเป็นช่วงตกต่ำของชีวิตท่านเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างนั้นเวลาท่านเมาเช้ามาก็สร่าง แต่ ณ ตอนนี้ที่กำลังเมาในรสชาติของความรัก เพราะต้องจากนางอันเป็นที่รักนั้นมันทรมาน ทำให้คนมีแต่ถลำลึก แล้วก็ยากที่จะหายจากอาการนี้ได้ จึงเป็นที่มาว่าทำไมเมาเหล้าถึงดีกว่าเมารักนั่นเองค่ะ

“ความเอยความรัก                           เริ่มสมัครชั้นต้น ณ หนไหน
เริ่มเพาะเหมาะกลางหว่างหัวใจ   หรือเริ่มในสมองตรองจงดี
            แรกจะเกิดเป็นไฉนใครรู้บ้าง         อย่าอำพรางตอบสำนวนให้ควรท
ใครถนอกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงรตี       ผู้ใดมีคำตอบขอบใจเอย ”



      แค่ขึ้นต้นมาก็เชื่อว่าทุกคนต้องรู้สึกคุ้นหูก่อนคุ้นตา เพราะมีเพลงชื่อ ความรัก ออกมาให้ฟังหลายเวอร์ชั่นเลยค่ะ หลายคนคงจะคุ้นเคยเพราะได้ยินมาจากเพลงมากกว่าจะรู้ว่าจริงๆ แล้ววรรคทองนี้ปรากฏในผลงานของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่อง บทละครพูดคำกลอน เวนิสวาณิช มาก่อนแล้ว ถ้าเป็นเวอร์ชั่นล่าสุดรู้สึกจะเป็นคุณแนน สาธิดานำมาขับร้องใหม่ประกอบละครเรื่องคุณชายรัชชานนท์ด้วยนะคะในส่วนความหมายที่ถอดได้จากวรรคทองที่ยกมานี้นะคะ จะเป็นในตอนที่ บัสสานิโยและนางปอร์เซีย ร้องถามโต้ตอบกันเกี่ยวกับความรักที่เกิดขึ้นว่า ความรักแท้จริงแล้วเริ่มเกิดจากอะไร สมองหรือหัวใจ? มีสิ่งใดเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงความรักได้ ถ้าใครมีคำตอบก็จะขอบคุณ ซึ่งถ้ามีเวลาก็อยากแนะนำให้ลองไปหาตัวบทมาอ่านดูนะคะ เพราะบทถัดไปได้มีคำตอบไว้ว่า ความรักก็เริ่มต้นจากเมื่อได้พบและสบตากับนางนั่นเอง ถือว่าเป็นบทประพันธ์บทหนึ่งที่มีความหมายลึกซึ้งมากทีเดียวค่ะ

   “ ความรักเหมือนโรคา                    บันดาลตาให้มืดมน
ไม่ยินและไม่ยล                          อุปะสัคคะใดใด
ความรักเหมือนโคถึก                    กำลังคึกผิขังไว้
  ก็โลดจากคอกไป                         บยอมอยู่ ณ ที่ขัง
 ถึงหากจะผูกไว้                            ก็ดึงไปด้วยกำลัง
        ยิ่งห้ามก็ยิ่งคลั่ง                           บหวนคิดถึงเจ็บกาย ”



        มาต่อกันที่วรรคทองอันที่สามที่ยกมา รู้สึกว่าประโยคแรกก็คงจะไม่มีใครไม่เคยได้ยินใช่มั้ยคะ คุ้นตามากๆเลยถ้าสังเกตดูจะพบว่าในวรรณคดีมักเปรียบคนที่ลุ่มหลงในรักหรือตกอยู่ในภวังค์แห่งรักเหมือนคนกำลังหลงทางในเขาวงกต หรือเหมือนคนป่วย(ซึ่งในที่นี้ก็คือป่วยใจ) นั่นก็เพราะความรักมักจะเข้ามามีผลต่อใจคนโดยไร้เหตุผล จากวรรคทองนี้เป็นตอนที่พระฤาษีกาละทรรศิน จากเรื่อง มัทนะพาธา ได้พูดกับศุภางค์ว่า ความรักของมัทนากับพระชัยเสนนั้นยากที่จะห้ามได้ ตอนนี้ทั้งสองคนกำลังป่วยใจ เพราะได้รับเชื้อจากความรักจนทำให้ตาบอด ถ้าจะพูดถึงพลังแห่งรักที่ทำให้เรามีแรงต่อสู้ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ไปได้มันก็ดีค่ะ แต่ถ้ารักมากเกินไปจนไม่อยู่บนความเป็นจริงก็จะถูกเปรียบให้เหมือนคนตาบอดนั่นเอง ยิ่งไปกว่านั้นการจะห้ามความรู้สึกของพระชัยเสนก็เหมือนเราเอาเชือกไปผูกดึงโคถึกที่กำลังอาละวาด ถึงเราจะผูกเขาไว้แต่สุดท้ายเขาก็จะดันทุรังหนีออกไปจากคอกอยู่ดี พระฤาษีกาละทรรศินจึงไม่ห้ามความสัมพันธ์ระหว่างนางมัทนากับพระชัยเสน เพราะรู้ว่าพิษรักนี่แหละค่ะที่อันตรายกว่าสิ่งใด ถ้าใครเคยฟังเพลง บุพเพสันนิวาส ที่ประกอบละครเรื่องวนิดา คงจะคุ้นกันมากขึ้นเพราะในเพลงมีท่อนหนึ่งจากวรรคทองนี้ด้วยค่ะ ลองไปหาฟังกันดูนะคะ



    “ถึงม้วยดินสิ้นฟ้ามหาสมุทร        ไม่สิ้นสุดความรักสมัครสมาน
     แม้อยู่ในใต้หล้าสุธาธาร             ขอพบพานพิสวาทมิคลาดคลา  ”




        ในส่วนของวรรคทองบทต่อมาที่จะพูดถึงมาจากเรื่อง พระอภัยมณี ค่ะ ก็น่าจะพอคุ้นกันบ้าง แต่ถ้าถามว่ามาจากที่ไหนคงจะต้องใช้เวลานึกนานทีเดียว แต่คำตอบให้แล้วค่ะ วรรคทองนี้เป็นตอนที่พระอภัยมณีสื่อความรู้สึกและให้คำมั่นต่อนางละเวงวัณฬา โดยตอนนั้นเป็นตอนที่ทั้งสองคนกำลังทำศึกกันอยู่ ด้วยความเจ้าชู้ของพระอภัยมณีก็ได้เกี้ยวนางละเวงด้วยวรรคทองนี้นี่เอง ซึ่งเมื่ออ่านแล้วจะต้องยกนิ้วให้กับความสวยงามทั้งทางความหมายและการเลือกใช้คำของท่านสุนทรภู่เลยล่ะค่ะ เพราะท่านได้เปรียบความรู้สึกของพระอภัยมณีที่มีต่อนางละเวงว่า แม้แผ่นฟ้า ผืนดิน และมหาสมุทรจะล่มสลายไป แต่ความเสน่หา และความรักที่มีจะไม่ล่มสลายไปด้วย ต่อให้ต้องตายไปก็จะขอตามไปเจอกันอีกครั้ง และจะรักนางไปทุกๆ ชาติ โดยท่านสุนทรภู่ยังแต่งโดยมีการเปรียบอีกว่าถ้านางละเวงเป็นน้ำ พระอภัยมณีก็จะขอเป็นปลา ถ้านางละเวงเป็นดอกบัวพระองค์ก็จะตามไปเกิดเป็นบรรดาผึ้งคอยชมอยู่รอบๆ หรือสุดทายถ้านางละเวงไปเกิดเป็นถ้ำ ตัวพระอภัยมณีก็จะขอเป็นราชสีห์ที่อาศัยอยู่ในถ้ำนั้นจะได้อยู่ใกล้กับนางตลอดไปนั่นเองค


                               “เป็นผู้หญิงแท้จริงแสนลำบาก         เป็นผู้ชายยิ่งยากกว่าหลาย
                      หญิงต้องเจียมกายามาแต่เยาว์        ชายต้องเฝ้าวิงวอนให้หล่อนรัก
                      หญิงถึงรักต้องแกล้งแสร้งทำเฉย      หวังให้ชายอยากเชยยิ่งขึ้นหนัก
                      ต่างคนต่างซัดกันน่าขันนัก                ที่แท้ต่างสมัครจะรักกัน”

         เรามักจะได้ยินประโยคที่ว่า "เป็นหญิงแท้จริงแสนลำบาก…." แล้วก็จะตามด้วยประโยคอื่นๆ มากมายเพื่อมาขยายความว่าเป็นผู้หญิงลำบากยังไง แต่รู้มั้ยคะว่าในวรรณคดีก็มีประโยคนี้มานานแล้วเหมือนกัน ซึ่งวรรคทองนี้ยกมาจากเรื่อง วิวาหะพระสมุท ผู้แต่งคือศรีอยุธยา(นามแฝงนี้ยังเป็นนามแฝงอีกอย่างของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าจ้าอยู่หัวด้วยนะคะ) โดยบทนี้เป็นตอนที่ตัวละครในเรื่องชื่อ แมรี รับรักนายทหารเอกเอ็ดเวิร์ด และยังมีสาวใช้อีกสองคนที่รับรักนายทหารอีกสองนาย คนทั้งสามคู่จึงร้องเพลงตอบโต้กันค่ะ แน่นอนว่าไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ล้วนแต่มีเรื่องที่ได้เปรียบและเสียเปรียบต่างกันค่ะ ในแง่ของความรักนี่ยิ่งซับซ้อนไปใหญ่ กว่าที่คนสองคนจะได้รักกัน  ผู้หญิงก็บอกว่าต้องรักนวลสงวนตัว เผยความรู้สึกมากก็ไม่ได้ ถ้าออกตัวก่อนก็คงจะดูไม่ดี ส่วนฝ่ายผู้ชายก็โต้กลับมาว่าเป็นผู้ชายก็ลำบากเหมือนกันนะ เพราะก็ต้องมาอ้อนวอนความรักจากผู้หญิง โดยเฉพาะถ้าผู้หญิงไม่แสดงออกก็ยิ่งเป็นการยากที่จะเริ่มความสัมพันธ์ได้ เรื่องราวทุกอย่างก็เลยยิ่งยากขึ้นไปเพราะต่างฝ่ายต่างทำให้มันยากนั่นเอง ทั้งๆ ที่จริงแล้วก็มีใจให้กันทั้งคู่ เห็นมั้ยคะว่าข้อคิดที่แฝงมากับวรรณคดียังใช้ได้ในยุคปัจจุบันอยู่น้าา รักใครชอบใครก็รีบบอก สงสัยก็รีบถามนะคะ ชีวิตคนเราไม่ได้มีวันพรุ่งนี้กันตลอดไปหรอกค่ะ ว่าจริงมั้ยคะ

ศึกษาเพิ่มเติม

https://www.dek-d.com/writer/42741/

วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ความเป็นมาของตัวอักษรไทย


  ความเป็นมาของตัวอักษรไทย

     1.1 วิวัฒนาการของตัวอักษรไทย

                ตัวอักษรไทยในยุคแรกๆ สันนิษฐานว่าได้รับอิทธิพลจากตัวอักษรอินเดียแต่ยังไม่ปรากฎมีหลักฐานชัดเจน และใช้ตัวอักษรขอมหวัดในยุคที่ขอมเรืองอำนาจ ในระยะต่อมาเมื่อประมาณในปี พ.ศ. 1826  พ่อขุนรามคำแหงมหาราชได้ทรงประดิษฐ์ตัวอักษรไทยขึ้นใช้ ที่เรียกว่า "ลายสือไทย" ลายสือไทยที่ทรงประดิษฐ์ขึ้นนี้ได้ดัดแปลงมาจากตัวอักษรขอม โดยพยายามให้ลักษณะของตัวอักษรสามารถเขียนได้ง่ายขึ้น ทรงกำหนดได้วางรูปสระไว้ให้อยู่ในบรรทัดรวมกับตัวพยัญชนะทั้งหมดเช่นเดียวกับแบบอย่างตัวอักษรของโรมันและทรงคิดให้มีวรรณยุกต์กำกับเสียงด้วยอันเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของภาษาไทย จนถึงทุกวันนี้

            ลายสือไทยที่พระองค์ทรงประดิษฐ์ขึ้นนี้ ได้นำมาใช้เป็นต้นแบบของการพัฒนารูปแบบตัวอักษรในยุคต่อๆมา ที่เด่นชัดได้แก่ ยุคสมัยของพระเจ้าฦๅไทย เมื่อประมาณปี พ.ศ. 1900 ได้เปลี่ยนเอาสระ อิ อี อึ อื  ขึ้นไปเป็นร่ม และนำเอาสระ อุ อู ลงไปเป็นรองเท้าของพยัญชนะ (โดยเทียบเคียงจากศิลาทั้งสองสมัย) ส่วนรูปแบบของตัวอักษรจะเปลี่ยนแปลงไปบ้างเล็กน้อย ในปี พ.ศ. 2223 รัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้พัฒนารูปแบบตัวอักษรอีกครั้ง โดยได้เปลี่ยนแปลงจากลักษณะเส้นโค้งของตัวอักษรมาเป็นเส้นตรงและเป็นเหลี่ยมมากขึ้น ทำให้สามารถเขียนได้สะดวกขึ้น การเปลี่ยนแปลงรูปแบบตัวอักษรครั้งนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนาตัวอักษรไทย เพราะได้กำหนดให้เป็นแบบอย่างของตัวอักษรไทยที่ใช้กันมาจนทุกวันนี้ การเปลี่ยนแปลงในระยะหลังที่พอจะพบเห็นได้เป็นลักษณะลีลาของการเขียน เช่น แบบอย่างลักษณะตัวอักษรข้อความที่เรียกว่า “แบบไทยย่อ” ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ที่มีลีลาการเขียนเป็นแบบตัวเอน เส้นขนานกันเป็นส่วนใหญ่ และเน้นหางตัวอักษรให้มีลีลาที่อ่อนช้อย

            รูปแบบตัวอักษรไทยที่ดูแล้วมีรูปลักษณ์แปลกตาไปจากเดิม ยุคที่มีการนำเอาตัวอักษรไทยเข้ามาใช้ในการพิมพ์ ในปี พ.ศ.2371 ได้มีการหล่อตัวพิมพ์อักษรไทยขึ้นเป็นครั้งแรก โดย เจมส์ โลว์ เอกสารที่จัดพิมพ์ขึ้นนั้นเป็นตำราไวยากรณ์ไทย ชื่อ  A GRAMAR OF THE THAI ตัวอักษรเป็นลักษณะแบบคัดลานมือ รูปลักษณ์ที่ดูแปลกตาไปเนื่องจากเป็นการแกะตัวอักษรจากบล็อก และหล่อจากแม่พิมพ์ทองแดง แทนการใช้วัสดุขีดเขียน หรือจารึกดังเช่นสมัยก่อน การพัฒนาระบบการพิมพ์ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ในปี พ.ศ.2381 หมอบรัดเลย์ ได้ทำการหล่อตัวพิมพ์ขึ้นใช้เองในประเทศไทย รูปแบบตัวอักษรขณะนั้นยังคงใช้แบบอย่างตัวอักษรของ เจมส์ โลว์ แต่ได้แก้ไขให้สวยงามและมีความประณีตมากขึ้น มาจนกระทั่งราวปี พ.ศ.2385  ที่ได้มีการปรับปรุงรูปลักษณ์ของตัวอักษรอย่างเด่นชัด โดยออกแบบให้ตัวอักษรมีลักษณะเป็นแบบหัวกลม ตัวเหลี่ยม ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า การสร้างรูปแบบตัวอักษรในครั้งนี้ ได้เป็นแบบอย่างในการพัฒนารูปแบบตัวอักษรที่ใช้ในวงการพิมพ์จนถึงทุกวันนี้

     1.2 ตารางการเปรียบเทียบรูปแบบตัวอักษรไทยที่เปลี่ยนแปลงไปในสมัยต่างๆ








          เกี่ยวกับวิธีประดิษฐ์อักษรไทย ของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช เป็นเรื่องย่อจากหนังสือ "สันนิษฐานเทียบการเขียนอักษรไทยกับอักษรขอม ในสมัยพ่อขุนรามคำแหง" ตามการสันนิษฐานของศาสตรมจารย์ฉ่ำ ทองตำวรรณ ซึ่งดำเนินตามแนวคิดของศาสตราจารย์ยอร์ช เซเดส์ ที่ว่า "การที่ของพ่อขุนราม คำแหงมหาราช ทรงประดิษฐ์ตัวอักษรไทยขึ้นครั้งนั้น ดูเหมือนพระองค์ได้ทรงแปลงมาจาก ตัวอักษรขอมหวัด"



ศึกษาเพิ่มเติม




เครื่องดื่มคลายร้อน ดื่มแล้วสดชื่นแถมยังสุขภาพดี



     สวัสดีหน้าร้อนค่ะ อากาศร้อนๆ แบบนี้ เราคงอยากหาอะไรมาดับร้อนสักหน่อย นี่เล๊ย!!! เมนูแนะนำที่จะมาช่วยคุณคลายร้อน ด้วยผลไม้ที่หาง่าย แถมให้ประโยชน์ด้วยค่ะ


                      Lime mint soda




เมนูนี้เต็มไปด้วยประโยชน์จากมะนาว ทั้งวิตามินซีที่ช่วยในการรักษาอาการเลือดออกตามไรฟัน และช่วยในรักษาอาการต่างๆได้มากมาย นอกจากนี้ยังทำให้รู้สึกสดชื่นและหอมจากใบสะระแหน่อีกด้วยค่ะ
ส่วนผสมมะนาว 3-4 ลูก
ใบสะระแหน่ ตามใจชอบ
โซดาแช่เย็น 1 ขวด
น้ำแข็ง
วิธีทำฝานมะนาวเป็นชิ้นบางๆ บีบน้ำมะนาวลงในแก้วผสมพร้อมเปลือก ใส่ใบสะระแหน่ลงไป จากนั้นใช้ช้อนบดส่วนผสมให้เข้ากัน เทโซดาลงแก้วแล้วใส่น้ำแข็งตามลงไป เสร็จแล้วคนให้เข้ากัน ใส่มะนาวฝานเป็นชิ้นบางลงในแก้ว และแต่งด้วยใบสะระแหน่ให้สวยงามค่ะ

                    Strawberry mint soda


สตรอว์เบอร์รี่เป็นผลไม้ที่ให้พลังงานต่ำเหมาะกับคนลดน้ำหนัก และยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วยค่ะ แถมยังลดความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ ลดความดันโลหิต และบำรุงสายตาได้อีกด้วยค่ะ ยิ่งถ้ากินในช่วงอากาศร้อนๆ แบบนี้ต้องสดชื่อแน่นอน
ส่วนผสมสตรอว์เบอร์รี่แช่เย็น 5-10 ลูก ตามใจชอบ
โซดาแช่เย็น 1-2 ขวด
ใบสะระแหน่ ตามใจชอบ
น้ำแข็ง
วิธีทำใส่สตรอว์เบอร์รี่และใบสะระแหน่ลงไปในแก้ว บดและคนให้เข้ากัน จากนั้นใส่น้ำแข็งลงไปครึ่งแก้ว ส่วนที่เหลือก็เทโซดาลงไปได้เลยค่ะ

                     Blueberry lime soda


บลูเบอร์รี่นอกจากจะมีรสชาติอร่อยแล้ว บลูเบอร์รี่ยังช่วยป้องกันโรคและชะลอวัยได้อีกด้วย แถมบวกกับประโยชน์จากมะนาว ทำให้เมนูนี้ทั้งอร่อยและมีประโยชน์สุดๆ ไปเลยค่ะ
ส่วนผสมบลูเบอร์รี่สด ½ ถ้วย
มะนาวคั้นสด ¼ ถ้วย
โซดาแช่เย็น 1 ขวด
น้ำแข็ง
วิธีทำผสมบลูเบอร์รี่กับมะนาวในแก้วผสมหรือเชคเกอร์(หากใครชอบรสหวานจะเติมน้ำตาลหรือน้ำเชื่อมก็ได้ไม่ว่ากันค่ะ) ใส่น้ำแข็งและโซดาลงไป พร้อมเสิร์ฟเลยค่า

                     Pineapple lemonade


สับปะรดเป็นผลไม้ที่ขึ้นชื่อในการช่วยย่ออาหาร อีกทั้งยังมีประโยชน์อื่นๆ อีกมากมาย หากใครที่กำลังไดเอท แต่อยากกินน้ำหวานให้สดชื่น น้ำสับปะรดก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้ามเลยค่ะ
ส่วนผสมสับปะรด หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
น้ำตาลหรือน้ำเชื่อม 2-3 ช้อนชา
น้ำเลมอน ¼ ถ้วย
โซดาแช่เย็น 1 ขวด
น้ำแข็ง
วิธีทำผสมน้ำสับปะรด น้ำเลมอน น้ำเชื่อม(นิดหน่อย) ลงไปในแก้วผสม พร้อมกับเติมโซดาและน้ำแข็งลงไป เพิ่มความสดชื่น

                           Lemon Soda

เลมอนนอกจากจะอุดมไปด้วยวิตามินซีแล้ว ยังช่วยแก้ปัญหาท้องผูกได้ดี หรือหากคุณกำลังลดน้ำหนัก เลมอนก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลยค่า
ส่วนผสมเลมอน ประมาณ 6 ลูก
น้ำเชื่อม (หากคุณไม่ชอบเปรี้ยว)
น้ำเย็นจัดหรือโซดา 3 ถ้วย
น้ำแข็ง
เลมอนฝานเป็นแว่น
วิธีทำเริ่มจากการใส่น้ำเชื่อมและเลมอน 1 ถ้วย (ให้เอาเมล็ดออกด้วย) คนผสมให้เข้ากัน แล้วเติมน้ำแข็งลงไป คนให้เข้ากันอีกครั้ง ใส่เลมอนฝานหรือจะใส่ใบสะระแหน่ลงไปด้วยก็ได้ค่ะ

    จะทำดื่มเองที่บ้าน หรือไปที่ร้านตากแอร์เย็นๆ 😊😊😊😊😊😊😊😊

ศึกษาเพิ่มเติม


http://www.e-toyotaclub.net/site/Life-style-%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%84%E0%B8%A5%E0%B8%9F%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B9%8C/Lifestyle-Detail/ID/5437



จับตา 8 เทรนด์เทคโนโลยี เปลี่ยนยุคธุรกิจและอุตสาหกรรมใหม่




    วิถีชีวิตของเทคโนโลยีเริ่มมีบทบาทต่อผู้คนมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความก้าวหน้า รวดเร็ว และเที่ยงตรงทำให้เทคโลยีที่มีหลากหลายเริ่มเป็นที่น่าจับตามมองที่จะพลิกโฉมอุตสาหกรรมและธุรกิจในอนาคต ผลการสำรวจผลจาก Tech Breakthroughs Megatrend ซึ่งทำการสำรวจรูปแบบเทคโนโลยีกว่า 150 แบบทั่วโลกจากกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วและกำลังพัฒนาเพื่อค้นหาเทคโนโลยีที่จะเข้ามามีบทบาทในการพลิกโลกเข้าสู่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีในอนาคตอีก 3-7 ปีข้างหน้า

อันดับ 1 ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI)


   Ai เรียกง่ายๆก็คือคอมพิวเตอร์ที่สามารถคิดและวิเคราะห์สิ่งต่างๆด้วยเหตุและผลจนสามารถตอบโต้การสนทนาได้อย่างดีเยี่ยม นอกจากนั้นยังสามารถเรียนรู้และจดจำสิ่งที่ผ่านมาเป็นบทเรียนได้อย่างลึกซึ้ง ซึ่งการพัฒนาเทคโนโลยีนี้ถูกแบ่งออกเป็นหลายรูปแบบเพราะการนำไปใช้งานของแต่ละองค์กรนั้นแตกต่างกัน  ซึ่งแน่นอนว่าการบริการที่มีอยู่ในปัจจุบันนั้นเป็นเพียงบางส่วนของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เท่านั้น แต่ในอนาคตความก้าวหน้าและผลสำเร็จของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์จะช่วยให้ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของโลกอินเทอร์เน็ตถูกนำมาใช้ประโยชน์มากกว่าในปัจจุบัน นอกจากนั้นยังสามารถช่วยเหลือมนุษย์ได้ทุกเรื่องจากการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ ซึ่งมนุษย์ไม่มีวันทำได้ แต่ถึงกระนั้นความกังวลใจเกี่ยวกับการคิดวิเคราะห์เองได้อย่างอิสระของปัญญาประดิษฐ์ก็ถูกมองว่าอาจจะเป็นภัยต่อมนุษย์ เพราะกรอบจริยธรรม ความคิด หรือแม้กระทั่งการตอบสนองจะต้องถูกควบคุมอย่างดี เพื่อให้ปลอดภัยกับมนุษย์มากที่สุด ก่อนที่จะเริ่มการปฏิวัติวงการด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์นั่นเอง







อันดับ 2 โลกกึ่งเสมือนจริง (Augmented Reality หรือ AR)


      AR  เทคโนโลยีโลกกึ่งเสมือนจริง ด้วยรูปแบบการผสมผสานเทคโนโลยีการมองเห็นกับโลกของความเป็นจริงมาเป็นหนึ่งเดียวด้วยการซ้อนเทคโนโลยีเข้ากับการมองของมนุษย์ปกติ ทำให้เกิดมุมมองใหม่ของการเรียกใช้เทคโนโลยีและจัดการระบบได้อย่างเป็นรูปธรรมมากขึ้นโดยปัจจุบันแม้ว่าจะยังเป็นแค่การทำงานอย่างง่ายๆ เช่น การออกกำลังกายในลู่วิ่ง เมื่อสวมแว่น VR เข้าไปจะทำให้การวิ่งนั้นมองเห็นวิวทิวทัศน์ในสถานที่ที่เราต้องการได้อย่างเป็นธรรมชาติ หรือจะเป็นการสวมใส่ VR ในการจัดของเพื่อตรวจนับสต๊อกสินค้าไปในตัว เป็นต้น ซึ่งอีกไม่นานเราจะเห็นการนำ AR ไปใช้ในรูปแบบต่างๆ ทั้งด้านความบันเทิงและกิจกรรมต่างๆ อย่างแพร่หลายในอนาคต


อันดับ 3 บล็อกเชน (Blockchain)

     บล็อกเชนเป็นเทคโนโลยีการร้อยต่อข้อมูลเข้าไว้ด้วยกันทั้งหมด โดยข้อมูลทุกบล็อกจะเป็นเหมือนสำเนาของตัวเอง เมื่อเกิดการแก้ไขจะทำให้ทุกบล็อกรับรู้การแก้ไขนั้นๆ และมีประวัติเก็บไว้อย่างซับซ้อน โดยเนื้อแท้ของเทคโนโลยีจึงมีความปลอดภัยจากโครงสร้างที่เกิดขึ้น  ซึ่งความสามารถของบล็อกเชนเริ่มเป็นที่รู้จักเมื่อถูกนำมาใช้งานในรูปของ Bitcoin หรือเงินเสมือนจริงที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลาย ด้วยรูปแบบการบันทึกทุกกล่องเป็นสำเนาข้อมูลเหมือนกันหมด ทำให้บล็อกเชนมีความปลอดภัยมากกว่าการบันทึกด้วยมนุษย์หรือเครื่องมือบันทึกใดๆที่มีอยู่เดิม และนั่นก็ทำให้บล็อกเชนได้รับความสนใจกับกลุ่มธุรกิจการเงินเช่นธนาคารเป็นอย่างมาก โดยเชื่อว่าบล็อกเชนจะเป็นนวัตกรรมทางการเงินที่มีความปลอดภัยและรวดเร็วมากกว่าเทคโนโลยีการเงินที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน




อันดับ 4 โดรน (Drones)

    โดรนเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีการบินที่ได้รับการพัฒนาให้มีขีดความสามารถของการบินหลายระยะด้วยระบบอัตโนมัติ ทำให้โดรนเข้ามาแทนที่ในการบินหลากหลายระบบทั้งเล็กและใหญ่ เช่น จากเดิมที่ใช้เครื่องบินใส่ปุ๋ยและยาพืชไร่ก็สามารถเปลี่ยนเป็นเครื่องโดรนที่บรรทุกปุ๋ยและยาบินเข้าพื้นที่แบบอัตโนมัติตามการวาง
โปรแกรมการบินเพื่อจัดการพื้นที่ได้อย่างไม่หลงลืม  ซึ่งในปัจจุบันมีการใช้โดรนในหลายรูปแบบ ทั้งทางการทหาร การช่วยเหลือผู้ประสบภัย รวมทั้งการขนส่ง ทำให้โดรนกลายเป็นเครื่องมือขนส่งที่ตั้งเป้าว่าจะเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งทางอากาศระยะไกลได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นขนส่งคนหรือสิ่งของก็ตาม แนวคิดดังกล่าวยังไม่สามารถเกิดขึ้นจริงในเชิงพาณิชย์ แต่กระนั้นก็เริ่มมีการทดลองอย่างจริงจังในหลายประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มอีคอมเมิร์ซที่กลายมาเป็นระบบค้าขายที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบัน



อันดับ 5 อินเทอร์เน็ตเพื่อทุกสิ่ง (Internet of Things หรือ IoT)

    เทคโนโลยี IoT เป็นสิ่งที่หลายคนพูดถึงกันมากที่สุด เพราะสามารถแทรกตัวเข้าไปได้แทบทุกอุตสาหกรรม เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีของการสื่อสารอุปกรณ์เท่านั้น โดยคาดหวังกันว่า IoT จะช่วยลดเวลาการจัดการทั้งหมดของมนุษย์ รวมไปถึงการดูแลความเป็นอยู่ของมนุษย์ให้มีความปลอดภัย สะดวก และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ IoT ยังเป็นอุปกรณ์ที่จะเก็บข้อมูล รายงานสิ่งที่จำเป็นให้กับผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมไปถึงการตรวจสอบในระบบสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ นับได้ว่าการแทรกตัวเข้าไปของทุกอุตสาหกรรมยังมีต้นทุนที่ราคาไม่แพงเกินไป ด้วยอุปกรณ์ขนาดเล็กที่ฝังเข้ากับเครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อช่วยในการสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ แต่หัวใจของการประมวลผลและคิดวิเคราะห์ยังคงใช้งานจากส่วนกลางเพื่อสนองตอบพฤติกรรมนั่นเอง





อันดับ 6 หุ่นยนต์ (Robots)

    หุ่นยนต์เป็นเป้าหมายใหม่ของการทดแทนแรงงานในอนาคต เนื่องจากงานบางชนิดเป็นการใช้แรงงานที่ต้องทำงานซ้ำ ๆ จนเกิดภาวะขาดแคลนแรงงาน ด้วยค่าแรงที่ต่ำหรือปัญหาของพื้นที่ก็ตามแต่ ซึ่งในโลกอุตสาหกรรมหุ่นยนต์แขนกลที่ทำหน้าที่แทนหนุ่มสาวโรงงาน ทั้งการยกของจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งหรือทำงานซ้ำๆ แบบเดิมตามไลน์การผลิต มักใช้หุ่นยนต์แขนกลที่มีเพียงจังหวะหมุนของการผลิตเท่านั้น และนอกจากอุตสาหกรรมการผลิตแล้ว หุ่นยนต์ยังสามารถเข้าไปแทนที่การทำงานในแง่มุมที่มีความเสี่ยงสูง เช่น หุ่นยนต์ดับเพลิง กู้ภัย หรือแม้กระทั่งหุ่นยนต์ให้บริการทำให้ในอนาคตหุ่นยนต์จะถูกนำมาใช้เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นกับมนุษย์มากขึ้น




อันดับที่ 7 โลกเสมือนจริง (Virtual Reality หรือ VR)

     VR  เป็นเทคโนโลยีที่อาจจะดูใกล้เคียงกับ AR หากมองแบบผิวเผิน แต่จริงๆ แล้วมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะวิธีการใช้หรือรูปแบบที่นำไปใช้ก็ตาม นั่นเพราะ VR เป็นสิ่งที่อยู่ในโลกเสมือนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ร่างกายเพียงตอบสนองกับสิ่งที่เห็นเพื่อฝึกฝนหรือเพื่อความบันเทิง โดยที่ไม่มีการซ้อนกันของโลกความเป็นจริงแต่อย่างใด ยกตัวอย่างเช่น การทำเครื่อง VR เพื่อฝึกบินเครื่องบินตามรุ่นต่างๆ ช่วยลดต้นทุนที่เกิดขึ้นจากการฝึกบินบางส่วนหรืออีกตัวอย่างเป็นการฝึกผ่าตัดของแพทย์เพื่อความเชี่ยวชาญ แน่นอนว่าเครื่องเหล่านี้สร้างระบบครอบการรับรู้ของมนุษย์ทั้งหมดไว้เพื่อสร้างโลกเสมือนที่อาจจะใกล้เคียงหรือไม่ใกล้เคียงกับสิ่งที่เป็นอยู่ก็เป็นได้



อันดับที่ 8 ระบบพิมพ์ 3 มิติ (3D Printing)

    เทคโนโลยีการพิมพ์ 3 มิติ อาจจะฟังดูเป็นเครื่องพรินเตอร์ที่วุ่นวายกับเรื่องหมึกไปสักหน่อย แต่แท้จริงแล้วเครื่องนี้กลับเป็นอะไรที่แตกต่างออกไป เนื่องจากฟีเจอร์การทำงานเป็นเหมือนการแกะสลักด้วยแบบดิจิทัลที่สั่งงานโดยคอมพิวเตอร์ ค่อยๆแกะเนื้อวัสดุออกตามที่ต้องการไปทีละขั้นทีละตอน เหมือนการขึ้นรูปวัสดุ และนั่นก็ทำให้เครื่องพิมพ์ 3 มิติเป็นที่หมายปองของนักออกแบบ เพราะเพียงเวลาไม่นาน แบบที่ร่างไว้ในคอมพิวเตอร์ก็จะถูกพรินต์ออกมาเป็นโมเดล 3 มิติที่จับต้องได้ทุกประการ ด้วยจุดเด่นของการทำงานที่ไม่จำกัดจำนวน และรวดเร็วเช่นที่พรินเตอร์จะพิมพ์ออกมาได้ทำให้เครื่องพิมพ์เช่นนี้หลุดเข้าไปในหลากหลายอุตสาหกรรม แน่นอนว่าในวงการแพทย์ที่มีการออกแบบอวัยวะเทียมเพื่อทดแทนอวัยวะสำคัญที่ขาดหายไป การออกแบบด้วยเครื่องพิมพ์ 3 มิติแล้วฉีดเซลล์เข้าไปเพื่อลดอาการต่อต้านก็จะสามารถทำได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น

  จะเห็นได้ว่าเทคโนโลยีทั้ง 8 นี้ต่างมีบทบาทของการพัฒนาและคุณประโยชน์ที่สามารถพลิกการใช้งานเครื่องมือในปัจจุบันของเราได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งก็ได้แต่หวังว่าสิ่งที่จะต่อยอดในอนาคตจะมีราคาที่ไม่แพงจนเกินไปและท้ายที่สุดคนธรรมดาก็สามารถเอื้อมถึงได้นั่นเอง





ศึกษาเพิ่มเติม






วรรคทองในวรรณคดี

          วรรคทอง   คือ  คำประพันธ์บางส่วนหรือบางบทที่มีคุณค่าต่อจิตใจของหมู่ชน  ชวนให้จดจำ  เป็นบทที่กินใจ  ด้วยคำประพันธ์ดังกล่าวนั้นม...